11 กันยายน 2564

ชีวิตกับความหวัง






      ถ้าจำไม่ผิดประมาณ ปี พ.ศ.2510-11  ขณะที่ผมกำลังเรียนอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ 5
วงดนตรีที่ฮอดฮิตสำหรับวัยรุ่นยุคนั้น ก็เป็นพวก วงดิอิมพอสซิเบิล และ ดิอิสซึ่ม
 เพลง"ชีวิตกับความหวัง" ที่คุณกำลังจะได้ฟังอยู่นี้ ก็เป็นเพลงที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ
เพราะให้ทั้งความหวังและ กำลังใจเป็นอย่างดี และเพลง "หนึ่งมิตรชิดใกล้" ก็เป็นที่ประทับใจมิรู้ลืม
สำหรับคนที่ค่อนข้างโรมานซ์ ลองฟังดูนะครับ


พูดเรื่องความต้องการแรงงานในอนาคต ปี 53


  ความต้องการตลาดแรงงานในอนาคตของภาคเอกชน
พูดให้ครูแนะแนวประมาณ 150 คน ที่โรงแรมไพลิน พิษณุโลก
 วันที่ 18 มิถุนายน 2553 เวลา 09.30  - 10.30 น. ห้อง...วรญาดา

ท่านผู้มีเกียรติครับ...
           เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า..  ครุบาอาจารย์ ทั่วไปท่านเปรียบเสมือนเรือจ้าง ที่ส่งคนถึงฝั่งแล้วก็แจวเรือกลับไปรับคนไปส่งอีกตลอดการทำงาน  แต่  อาจารย์แนะแนวนี่เปรียบเสมือนอะไรล่ะ  ผมว่าเปรียบเหมือน พระพรหม นะครับ ที่คอยกำหนดและลิขิตชีวิตให้กับ นักเรียน ที่อยู่ในการดูแลของท่าน.. ท่านจะมีส่วนในการลิขิตชีวิต และเปลี่ยนแนว ทางชีวิตให้กับเด็กๆ ท่านจงภูมิใจในตนเอง ว่าท่านคือส่วนหนึ่งของผู้ลิขิตชีวิตให้กับเขาทั้งหลาย....ยกเว้นชีวิตท่านเอง... (ฮา..)
       จริงๆแล้วอยากให้ อ.แนะแนวน่าจะเรียนรู้เรื่อง โห้วงเฮง  ลายมือ และโหราศาสตร์นะ อย่าว่าเหลวไหลนะครับ  ระดับรัฐบาลหลายๆยุคที่ผ่านมา ก็อาศัยโหราศาสตร์ แย่งชิงความได้เปรียบทางการเมือง  ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของไทยเราแต่โบราณ  ใครสนใจวันหลังจะเปิดคอร์ส สอนให้  เพราะอะไรครับ ถ้าเราดูโห้วงเฮ้งเป็น  เห็นปุ๊บ รู้เลยว่าเธอน่าไปเรียนหมอนะ หน้าตาแกดูฉลาดดี หรือ เอ..คนนี้น่าจะไปเป็นพ่อค้า(เพราะหน้าแกเต็มไปด้วยสีเลือด)  หรือยกตัวอย่างง่ายๆ   แค่ยกมือไห้วน่ะ เรารู้แล้วว่า คนๆนี้ เป็นคนอย่างไร กางมือออกมาปุ๊บรู้ปั๊บ  คนๆนี้ควรจะไปทำอะไร  หรือผูกวันเดือนปี ปั๊บรู้เลยว่าควรประกอบอาชีพอะไร  เป็นคนอย่างไร ทำอาชีพอะไรแล้วจะรุ่งริ่ง หรือรุ่งเรือง  วางลัคนาเสร็จ อืม..คนแบบนี้  หน้าตาแบบนี้ ยิ้มแย้มแจ่มใส น่าจะอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ก็ควรไปเรียนนิเทศ  อ้าว.. คนนี้ หน้า บึ้งตึง เอ้า.. ไปอยู่ฝ่ายทวงหนี้ (ฮา)  เออ คนนี้ ไม่ค่อยพูด หรือพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน ดาวพุธเป็นนิจ เป็นประ เอาไปอยู่หลังห้องเก็บของก็แล้วกัน   อ้อ..คนนี้ท่าทางพูดเก่ง เอาไปเป็นฝ่ายต้อนรับ  อ้อ..คนนี้ ดาวพฤหัสเด่น เป็นคนดูดี มีคุณธรรม เมตตา ปราณี ฉลาดเฉลียว เอาไปเป็นครูแนะแนวครับ..(ฮา..ปรบมือ)
                  ครับ..ว่างๆผมจะเปิดสอนให้ เฉพาะครูแนะแนว ..ดีไหมครับ

       ปีที่แล้วผมเคยมาพูดให้ท่านฟังไปแล้วครั้งนึง เกี่ยวกับเรื่องแนวโน้มการจ้างแรงงานในอนาคต  เข้าใจว่าปีนี้คงมีหลายๆท่านที่เคยฟังผมพูดไปแล้ว  สถานการณ์  การจ้างงานในปีนี้  คาดว่าดีกว่า ปีที่แล้ว ถึงแม้จะมี กีฬาสี ระดับชาติให้เราดูมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเหลือง จะแดง จะเกิดวิกฤตการณ์อย่างไรก็ตาม  แต่น่าแปลกครับ การจ้างแรงงานระดับ แรงงานไร้ฝีมือ เช่นโรงงานไทยแอโร่ โรงงานฝ่ายผลิตต่างๆก็ยังไม่มีปัญหา มากนัก เหมือนเมื่อ ปี 2551  หรือ  2 ปีที่แล้ว  ยังรับคนเข้าทำงานมาโดยตลอด.
                 หัวข้อที่ผมถูกกำหนดให้มาพูดในวันนี้ก็คือ..
        ความต้องการตลาดแรงงานในอนาคตของภาดเอกชน
         ก่อนอื่นเราต้องเราต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับว่า  อนาคตน่ะ มันกี่ปี  ทราบว่าท่านเป็นอาจารย์แนะแนวของโรงเรียนระดับมัธยม ต้นและปลาย  การแนะแนวทางให้เด็ก อีกประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า ..นะครับ ที่เด็กจะจบ ระดับมหาวิทยาลัย หรือ ระดับ ปวช.
ก็....อีก 3 5 ปี ข้างหน้า ก็ประมาณ  ปี 2555-8
   ทีนี้เรามาดูกันว่า..  อีก  3-5 ปีข้างหน้า ประเทศเราจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ...
ผมพยายามจะไม่ดูแค่ปีนี้ หรือปีหน้านะครับ แต่จะดูโดยรวมๆกันไป  โดยจะเน้นทางภาคเอกชนเป็นหลัก  เด่วจะพูดหลังจากนี้  
ตอนนี้จะพูดเรื่องภาคแรงงานต่างๆของเราก่อน
ก.   แรงงานต่างๆของภาคเอกชน
แบ่งเป็นหมวดใหญ่ อะไรบ้างล่ะครับ  ตามความเข้าใจของภาคเอกชน
1.แรงงานภาคอุตสาหกรรม
2. แรงงานภาคเกษตร
3. แรงงานภาคบริการ
   แต่ละภาคส่วนนั้นยังแบ่งออกเป็นแรงงาน มีฝีมือ และ ไร้ฝีมือ
              1.เป็นแรงงานประเภทมีฝีมือ (ลูกจ้างมีฝีมือ)
ภาคอุตสาหกรรม
เป็นลูกจ้างพนักงานตามบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิศวะ หมอ  นักบัญชี หรือช่างเครื่องต่างๆที่ดูแลในส่วนของการซ่อมแซมเครื่องจักร ก็ล้วนแต่เป็นลูกจ้างเขาทั้งนั้นแหละครับ
ภาคเกษตร
เป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ทางด้านอาหาร นักโภชนาการ ด้านผลิตปรับปรุงปุ๋ยเคมี
ภาคบริการ
เป็นไกด์ ผู้จัดการโรงแรม ฝ่ายการตลาด ประชมสัมพันธ์
  
              2.เป็นแรงงานไร้ฝีมือ
ภาคอุตสาหกรรม เช่นพนักงานฝ่ายผลิต ต่างๆในโรงงานใหญ่ ๆ  ตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆบ้าง   ทำงานต่างๆตามไลน์การผลิต  บนสายพานต่างๆ  พวกนี้ขาดเยอะ
ภาคเกษตร
ลูกจ้างรับจ้างทำนา ทำไร่  เลี้ยงสัตว์  นี่ก็ขาด
ภาคบริการ
พนักงานโรงแรม  แม่บ้าน ยาม พนักงานต้อนรับ เด็กเสริฟ  นี่ก็ขาดบ้าง
      ครับ เรารู้กันแล้วนะครับ ว่าแรงงานในภาคเอกชนมีอะไรบ้าง
ข.       ความต้องการแรงงานของภาคเอกชน
                ช่วงนี้ ความต้องการของแรงงานในภาคเอกชนนั้น  ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มไปทางแรงงานไร้ฝีมือ ซะมากกว่า  เพราะเราขาดตำแหน่งงานไร้ฝีมือ ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น นวนคร ปทุมธานี  รังสิต โรจน อยุธยา นิคมอุตสาหกรรมลำพูน บางปู ใกล้ๆบ้านเราก็ พิจิตร  ก็งานอย่างที่ผมบอกไปแล้ว ...(พนักงานต่างๆ)
เพราะฉะนั้น เด็กที่ครอบครัวยากจนหรือ ไม่พร้อม  จบ ม.3 ม.6  ก็ควรแนะนำไปทำงานก่อน แล้วค่อยมาเรียนต่อภายหลังก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ ม.ต่างๆเปิดกว้างมาก  ผมเองก็มาเรียนต่อภายหลังจากที่ทำงานแล้ว  แต่ไม่ใช่ยากจนนะ แต่ก็เพราะครูแนะแนวนี่แหละ ตอนผมไปปรึกษา จะเรียนอะไรดี ....ครูก็ขอดูคะแนน ต่างๆ.. เอ้า..คะแนน ภาษาอังกฤษ.. คณิตศาสตร์ เคมี  ห่วย.. ถามที่บ้านทำอะไร..เลยแนะนำให้มาค้าขาย  อ้อ..ไปค้าขายดีกว่ามั่ง.. ก็เลยเหมือนท่านเห็นอยู่นี่ไง..
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ใช่เป็นการไปตัดอนาคตเขา แต่ หาแนวทางที่ดีที่สุดให้เขา
                       สำหรับเด็กที่พร้อมทั้งครอบครัวส่งเสริม และมีเงินพอเรียนได้  ก็ให้เรียนด้าน วิชาชีพต่างๆที่จบแล้วสามารถหางานทำได้ง่ายๆเป็นวิชาเอก  และต้องเน้นเรียนภาษาควบคู่ไปด้วยนะครับ เป็นวิชาโท
                     ฟังดีๆนะครับ ...เรียนสายอาชีพเป็นวิชาเอก เรียนภาษาเป็นวิชาโท ถ้าปัจจุบันไม่มีการเรียนวิชาโท ก็ต้องเน้นการฝึกฝนด้านภาษาควบคู่ไปด้วย  อย่าให้เหมือนพวกเรา ที่รู้ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ  วันคาร์โก ทูคาร์คัม  ทูคาร์โครม...   และภาษาที่ที่ควรเรียนรู้นั้นควรจะเป็นภาษาจีน  และอยากไปทำงานแถวยุโรป ก็ภาษาเยอรมันอีก  1 ภาษา เพราะปัจจุบัน เยอรมันก็ถือเป็นประเทศที่มีเศรฐษกิจใหญ่อันดับต้นๆของโลกที่รองจาก สหรัฐ จีน และญี่ปุ่นเท่านั้น เชื่อแน่ว่าอนาคตจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรฐษกิจ
    ทำไมผมถึงต้องให้ท่านเน้นเรื่องภาษา ...มีดังนี้ครับ..จากหนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ 25 พค.ปีนี้  และจากสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย  วิจัยไว้น่าสนใจมากครับ.. บอกว่าดังนี้..
              เหลือเวลาอีกประมาณ 5 ปี ประมาณปี 2558 (ที่พูดค้างไว้เมื่อสักครู่)เป็นปีที่กลุ่มประเทศอาเซียนตกลงกันตามพิมพ์เขียวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน( อาเซียนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2513 อันเป็นผลจากการประชุมที่กรุงเทพฯ โดยสมาชิก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย  2527 บรูไน ดารุสซาลัม จึงเข้ามาร่วม  จากนั้นเวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิก 2538  ลาวและพม่า2540 กัมพูชาเมื่อ 2542 รวม 10 ประเทศ ปัจจุบันอาเซียนมีประชากรรวม 503 ล้านคน มีดินแดนรวมกัน 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร )
(ASEAN Economic Community Blueprint) ว่าจะเริ่มให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างกันอย่างเสรีได้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานมีฝีมือและแรงงานระดับวิชาชีพ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เองเราก็มีแรงงานต่างด้าวอยู่ในประเทศไทยแล้วจำนวนมหาศาล
         
เพราะฉะนั้น การเปิดเสรีแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ว่าคุณภาพแรงงานของเราจะสู้กับแรงงานจากประเทศอาเซียนทั้งหลายได้หรือเปล่า  ในเชิงรุก ก็คือการส่งแรงงานไปทำงานในประเทศอาเซียน และในเชิงรับคือความสามารถรักษาตลาดแรงงานในประเทศให้เป็นของคนไทยโดยใช้แรงงานต่างชาติอาเซียนให้น้อยเข้าไว้ ทั้งนี้ บริษัทใหญ่ๆในประเทศเป็นทั้งของชาว ฝรั่ง  จีน ญี่ปุ่น  เราคงไปบังคับให้เขารับเฉพาะคนไทยคงไม่ได้  นี่จึงเป็นเหตุให้ผมแนะนำว่าควรให้เด็กเรียนเรื่องภาษาเพื่อใช้งานได้ให้มากไว้
          ในภาพรวม แรงงานไทยยังมีแรงงานระดับล่างอยู่เป็นจำนวนมาก จากแรงงานของประเทศประมาณ37 ล้านคน เป็นผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนต้นลงมามี
ประมาณ26.8 ล้านคน และเป็นแรงงานที่อยู่ในภาคเกษตรประมาณ 14.7 ล้านคน เป็นแรงงานระดับการศึกษาตั้งแต่จบมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไปประมาณ 10 ล้านคน
    จะเห็นได้ว่า แรงงานระดับมัธยมศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยเพราะผู้ที่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งเข้าเรียนต่อขั้นอุดมศึกษามากกว่าจะตั้งใจจบแค่มัธยมศึกษาตอนปลาย
         
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับคุณภาพแรงงานไทยคือ คุณภาพของผู้จบการศึกษายังมีปัญหาอยู่หลายจุด
         
ในระดับมัธยมศึกษาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาในวิชาพื้นฐานทางภาษา, คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
         ผู้ประกอบการภาคเอกชนหลายรายมักจะพูดตรงกันว่า แรงงานไทยทั้งระดับกลางและระดับสูงมีปัญหาด้านภาษาและการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการปฏิบัติงาน
          นอกเหนือจากปัญหาเชิงคุณภาพอื่นๆ เกี่ยวกับคุณลักษณะของแรงงานแต่ละคน เช่น การขาดวินัยในการทำงาน การพัฒนาปรับปรุงตนเอง การขาดทักษะในการทำงาน เป็นต้น อันนี้คงต้องฝากคณะครู นะครับ
         

                    จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยพบประเด็นเกี่ยวกับคุณภาพของแรงงานหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น    
ระดับมัธยม 
         1. การจัดสรรงบประมาณให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษาต่ำกว่าประเทศอื่นที่มีการจัดการศึกษามัธยมศึกษา
         
2. ในระดับอาชีวศึกษา -มีปัญหาเชิงคุณภาพ และการผลิตไม่สนองความต้องการของประเทศ จบมาแล้วมักทำงานไม่ค่อนเป็น
         
3. การเรียนการสอนเน้นปริมาณ ผู้เข้าเรียนและจบการศึกษา มากกว่าที่จะเน้นขีดความสามารถในด้านปฏิบัติในระดับเทคโนโลยีต่างๆ  บางแห่งเปิดรับสมัครแล้ว เปิดอีก ไม่แน่วันหลังอาจจะมีการเปิดรับสมัครนักศึกษารอบมิดไนท์
         
4. ครูไม่มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติ และขาดทักษะในอาชีพที่สอน
         
5. การเรียนการสอนในระดับสายอาชีพ ยังอยู่ในโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถตามเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมได้ทัน
      

           ในระดับอุดมศึกษา 
          1. คุณภาพของสถาบันการศึกษาและบัณฑิตยังไม่ได้มาตรฐานสากลและต่ำกว่าความคาดหวังของผู้ประกอบการเอกชน  เข้าทำนอง จ่ายครบ จบแน่ ของ ม.บางแห่ง
         
2. สาขาวิชาที่ผลิตบุคลากรออกมายังไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขาดความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ หรือสถานประกอบการ มีผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาว่างงานในอัตราสูง
           3. เน้นปริมาณ มากกว่าคุณภาพ บางแห่งเปิดรับสมัครแล้ว เปิดอีก ไม่แน่วันหลังอาจจะมีการเปิดรับสมัครนักศึกษารอบมิดไนท์ 

         
นอกจากนั้น แรงงานของไทยเริ่มมีอายุเฉลี่ยมากขึ้น พูดง่ายๆ คือเริ่มแก่ เพราะประชากรไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โครงสร้างอายุของแรงงานจะมีอายุเฉลี่ยของแรงงานสูงขึ้นกว่าในอดีต  ฉะนั้นเด็กจบมาใหม่ๆต้องไปแย่งงานกับรุ่นพี่
          อายุของแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในช่วง35-39 ปี และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตเนื่องจากการเปลี่ยนโครงสร้างอายุของประชากรดังกล่าวแล้ว
          ในภาพรวมขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านการศึกษายังไม่ค่อยดีนัก
          จะเห็นได้ว่าการสนับสนุนจากรัฐ ในเรื่องการสนองความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศเรายังเป็นรองสิงคโปร์ มาเลเซีย มากนัก แต่ยังสูงกว่าฟิลิปปินส์ เล็กน้อย
ในด้านอุดมศึกษา ไทยเป็นรองทุกประเทศที่กล่าวถึง เช่นเดียวกันกับทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่ไทยยังห่างชั้นจากประเทศดังกล่าวอยู่มาก
         
แล้วเราจะเอาอะไรไปแข่งกับเขาในปี 2558 ล่ะ
         เป็นไงครับฟังแล้ว อึ้ง ไปเลยใช่ไหมครับ..
       แต่การแก้ปัญหาเหล่านี้คงไม่ใช่ หน้าที่ของเราต้องปล่อยให้คณะรัฐบาลและ ผู้ใหญ่ในกระทรวง การศึกษา ไปแก้ไขปัญหากันเอง
ส่วนเราสามารถแก้ไขปัญหาให้ เด็กได้ที่ปลายเหตุคือ.. ให้เขาเรียนรู้เรื่องภาษา  คอมพิวเตอร์  การใช้ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต  และ ความรู้ทางอีเลคโทรนิคส์ต่างๆ เม่าที่เราสามารถที่จะทำได้ แต่ถ้ามีเงินส่งลูกไปเรียนเมืองนอกก็ได้นะครับ ถ้ามีเงินเหลือเฟือ ผมมีเพื่อนอยู่คนนึงส่งลูกไปเรียนที่ออสเตรเลีย หมดไป 10 ล้าน กลับมาช่วยพ่อแม่ขายเบียร์  อีกคนนึงส่งลูกไปเรียนอเมริกาด้านเศรษฐศาสตร์  กลับมาลูกไปเป็นคนเขียนหนังสือเรียนเด็ก ประกอบรูปภาพ 

       แต่..สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับท่านคือ..
สิ่งแรกที่ท่านควรจะแนะนำเขาคือ เขาชอบเรียนอะไร หรืออยากจะเป็นอะไร จงสนับเขาในสิ่งนั้นๆ  เพราะมีคำกล่าวว่า ถ้าเขาชอบงานที่เขาทำแล้วก็ .. ชีวิตตนี้เขาจะไม่ต้องทำงานอีกต่อไปเลย..เพราะสิ่งที่เขานั้นในสายตาเขา มันไม่ใช่งาน แต่เป็นของที่เขาชอบ เขาจะทำมันเสมือนงานอดิเรกที่เขาชอบ เช่น ..ผม..การทำแบบ ออกแบบพิมพ์เสื้อ ทำเวปไซค์ เป็นสิ่งที่เราชอบ เราจะทำมันเหมือนเรากำลังเล่นเกมส์ เพราะมันมันส์่ะ แทบไม่อยากลุกไปไหนเลย.
แต่ หากท่านไม่สามารถแนะนำให้เขา และเธอเหล่านั้น ไปทำงานเป็นลูกจ้างเขาได้ ก็ควรจะแนะนำให้เขาไปทำธุรกิจส่วนตัว  ซึ่งปัจจุบัน ก็ไม่ยากอย่างที่คิด
หลายๆอาชีพในปัจจุบัน เมื่อ  5-6 ปีที่แล้ว ยังไม่มี..มือถือ
     เช่น การค้าขายสินค้าทางเวปไซค์
ขายบัตรเติมเงิน ให้เช่าแผ่น ซีดี  ขายมือถือ  จำนำมือถือ  รับทำเวปไซค์  หาคู่ทางเวปไซค์  รับลงโปรแกรมคอมฯ  รับล้างไวรัส เติมหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท  ขายภาพถ่ายทางเวป
สอนทำอาหารทางเวปไซค์   ในเมื่อเป็นลูกจ้างเขาไม่ได้แล้ว  เป็นเถ้าแก่เองก็ได้
การลงทุนก็ไม่มากมายนัก สามารถทำได้ ถ้าตั้งใจจะทำ
      อย่างไรก็ตาม แรงงานในอนาคต ที่ เป็นที่ต้องการของภาคเอกชน นั้นควรจะมีความรู้ด้านภาษา อย่างน้อยอีก  1 ภาษา ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์  ความรู้ทางการใช้อินเตอร์เน็ต มีอีเมล์ใช้ รู้จัก กูเกิล  และที่สำคัญต้องมีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา และรู้จักพัฒนาตนเองโดย แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา 
                     แรงงานของไทยจึงจะเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ ในอนาคต และสามารถแข่งกับประเทศในกลุ่มอาเชียนได้ โดยไม่แพ้ใคร 

                                                    สวัสดีครับ..


24 ตุลาคม 2553

พูดเรื่องแนวโน้มสถานการณ์การจ้างงานภาคเอกชนในอนาคต ปี 2552


แนวโน้มสถานการณ์การจ้างงานภาคเอกชนในอนาคต
          ไปพูดที่ห้องสุโขทัย โรงแรมท็อปแลนด์  เวลา 09.00 น. วันที่ 17 กรกฎาคม 2552
 ผู้ฟังเป็นครูแนะแนวจากโรงเรียนต่างๆในจังหวัดพิษณุโลกทั้ง 3 เขตการศึกษา
 ผู้ฟังประมาณ 200 คน  ในนามรองประธานหอการค้าพิษณุโลก
โดยได้รับเชิญจาก สนง.จัดหางาน จ.พิษณุโลก
 

ท่านผู้มีเกียรติครับ........
(เสียงปรบมือ.......)
         ก่อนอื่นต้อง..ขอขอบคุณท่านผู้มีเกียรติที่กรุณาปรบมือให้ผม ใครปรบมือให้ผม ก็ขอให้ถูก ล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่ง ในงวดนี้ นะครับ สำหรับท่านที่ไม่ได้ปรบมือให้ผม...ก็ขอให้...............ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนกันนะครับ  ถูกงวดละ หนึ่งตัว จนครบ หกงวดนะครับ..(ฮา..)
          ท่านผู้มีเกียรติครับ   จริงๆแล้ว..คุณครูแนะแนวนี่เป็นครูในดวงใจผมเลยนะ  ที่ผมได้อะไรๆหลายๆอย่างในวันนี้ ก็เพราะคุณครูแนะแนวนี่แหละครับ  ตอนที่เรียนอยู่ ม.ศ. 5 ที่ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ผมเข้าไปปรึกษาอาจารย์แนะแนว อาจารย์ก็ให้ผมเอาคะแนนต่างๆมาดู อื่ม.. นี่คณิตศาสตร์ อืม..ห่วย ภาษาอังกฤษ...อืม..ห่วย.. เคมี ชีวะ ฟิสิกค์ล่ะ..อืม..อันนี้...ก็  ห่วยอีก...(ฮา..)    
ที่บ้านทำอะไรล่ะ
ค้าขายครับ
 เออ..เธอกลับไปค้าขายดีกว่ามั่ง...(ฮา..)
        จากนั้นผมก็เลยกลับไปทำการค้า  อย่างที่เห็นอยู่นี่   นี่ดีนะที่ผมเชื่อครูแนะแนว  ถ้าผมไม่เชื่อครูแนะแนว  ป่านนี้ผมไปสอบเอ็นทรานส์ติด  ป่านนี้คงไม่รู้ไปเป็นลูกจ้างเค้าที่ไหนแล้ว  ทำงานแล้วก็ไปเรียนต่อรามคำแหง  สุโขทัยธรรมธิราช  มหาวิทยาลัยราชภัฏ  สำเร็จมั่ง  ไม่สำเร็จมั่ง..
            อาทิตย์ที่แล้ว  ท่านประธานหอฯ  ให้หัวข้อผมมาว่า  แนวโน้ม..สถานการณ์...  ไม่ทราบว่าใครคิดหัวข้อนี้ขึ้นมานะครับ  ยาวจังท่องมาสามวันแล้วยังจำไม่ได้เลยครับ (ฮา..)  ก็ต้องขออภัย  และวันนี้ท่านประธานหอไม่มา  เดี่ยวมือหนึ่งไม่มา  ส่งเดี่ยวมือสองแบบผมมาพูดคุยกับท่านแทน    บังเอิญ...ผมก็เป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงแรงงานมาพอควร  คงทราบนะครับจากพิธีกรว่าผมเป็น ผู้จัดการบริษัท SPC เซอร์วิส  รับคนงานเข้าทำงานในบริษัทไทยแอร์โรว์เป็นคอนแท็คเตอร์  ซับคอนแท็ค  หรือเรียกกันว่าเป็นเอ๊าว์ช็อต  คือ รับจ้างเหมาแรงงานให้โรงงานใหญ่ ๆ เคยทั้งรับคนเข้า  และไล่คนออกจากงานมาแล้วมากมายหลายพันคน 
            ท่านครับ  ผมเคยมีคนงานพัน ๆ คน  ตอนนี้ไม่เหลือแล้วเพราะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างที่ทราบๆกันอยู่   ท่านเชื่อมั้ย  เมื่อ 3 4 ปีที่แล้ว หลาย ๆ บริษัทแย่งกันรับคนเข้าทำงาน  แทบจะฆ่ากันตาย  ใครอย่าเดินผ่านออฟฟิตของผมนะ  แค่เห็นแวบ ๆ เดินมาหลายคน  ผมสั่งลูกน้องเลย  เอ็งเดินเข้าไปล็อกตัวเลยนะ  คลำ ๆ ดูใครไม่มีหางรับเข้ามาทำงานให้หมด (ฮา)  บางครั้งให้ลูกน้องเดินเตร่อยู่ท่ารถ บขส. เอาสวิงไปด้วย(ฮา)เจอใครอายุมากกว่า  18  ไม่เกิน  35  เอาสวิงครอบดึงมาทำงานกับเราให้ได้(ฮา...ปรบมือ)  ครับทำกันถึงขนาดนั้น  แต่ช่วง ต้น ๆ ปีที่ผ่านมาต้องเปลี่ยนคำสั่งใหม่  สั่งลูกน้องเดินเข้าดูในไลน์งาน  สายงานดูซิใครไม่มีหาง เชิญมาทำเรื่องเลิกจ้างให้หมด (ฮา) แต่การเลิกจ้างนั้นทำถูกต้องตามกฎหมายนะครับ  คือ  จ่ายชดเชย   3 9  เดือน  มีค่าตกใจเพิ่มให้อีก  1  เดือนครับ(ฮา)  ครับ..วิกฤตเศรษฐกิจคราวนี้เริ่มจากอเมริกา  ลุกลามไปทั่วโลก  ทำให้เราต้องรับรู้ถึงความเป็นไป...เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกระทบ  เพราะยุคโลกาภิวัตน์  ผมจะพูดถึงภาพรวมในระบบเศรษฐกิจและแรงงานก่อนนะครับ  ภาพรวมของแรงงานในอนาคต  มหภาค  และจุลภาคแบ่งออกเป็น  4  ตอน
            1.  แนวโน้มของการจ้างงานในอนาคตระดับมหภาค
            2.  แนวโน้มการจ้างงานในประเทศระดับจุลภาค
            3.  แนวโน้มการจ้างงานในจังหวัดพิษณุโลก
            4.  แถมให้ถ้าเวลาพอ  การปรับตัวของแรงงานจากภาคการศึกษาที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน

1.  แนวโน้มของการจ้างงานในอนาคตระดับมหภาค
            จากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีผลทำให้คนว่างงานเพิ่มมากขึ้น  องค์การแรงงานระหว่างประเทศ  (ไอแอลโอ)  หรืออินเตอร์  เนชั่นแนล  เลเบอร์  ออแกนไนท์เซชั่น  รายงานแนวโน้มการจ้างงานโลก
            รายงานนำเสนอผลที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต  3  สถานการณ์ในการว่างงานโลกระหว่างปี พ.ศ. 2550 2552  ซึ่งอาจเพิ่มขึ้น  18  ล้านคน  30  ล้านคน  หรืออาจสูงสุดถึง  50  ล้านคน  หากสถานการณ์เลวร้ายลง  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของตลาดแรงงานและการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ทั้ง  3  สถานการณ์ส่อให้เห็นว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้น
            ในการคาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุด อาจมีแรงงานถึง 200 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา  ในจำนวนนี้จะเป็นแรงงานในเอเชียถึง 140 ล้านคน การคาดการณ์นี้ยังระบุว่าแรงงานที่อยู่ในความยากจน (รายได้ต่ำกว่า 2 เหรียญสหรัฐ หรือ 70 บาท ต่อวัน) อาจเพิ่มขึ้น 176 ล้านคน โดยเป็นแรงงานที่อยู่ในเอเชียแปซิฟิคถึง 119 ล้านคน
            สาระสำคัญที่ไอแอลโอต้องการนำเสนอนี้มีความเป็นไปได้สูง ไม่ใช่เพื่อต้องการให้ตื่นตระหนก เรากำลังเผชิญกับสภาวะวิกฤตแรงงานโลก ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศทราบดีและกำลังแก้ไข
            รายงานฉบับนี้นำเสนอข้อมูลล่าสุด  ประเมินว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกจะส่งผลให้มีคนว่างงานเพิ่มขึ้นระหว่าง 15 ถึง 20 ล้านคนในปี 2552 โดยมีประเด็นสรุปที่สำคัญดังนี้
Ÿ  สืบเนื่องจากการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 อัตราการว่างงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ในปี 2552 และจะส่งผลให้จำนวนคนว่างงานสูงขึ้น 18 ล้านคนในปี 2552
Ÿ  หากสภาวะทางเศรษฐกิจเลวร้ายลงกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ซึ่งมีความเป็นได้  อัตราการว่างงานทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 และจะส่งผลให้มีคนว่างงานถึง 30 ล้านคน
Ÿ  ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด  อัตราการว่างงานทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.1 ซึ่งจะทำให้จำนวนคนว่างงานสูงถึง 50 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นถึง  1.4  พันล้านคน  หรือคิดเป็นร้อยละ  45  ของประชากรโลกที่ทำงาน
            ในการคาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในปี 2552 สัดส่วนของคนทำงานที่ไม่มั่นคง อาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 53 ของประชากรที่ทำงานทั่วโลก ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำงานส่วนตัว หรือสมาชิกในครอบครัวที่มีรายได้ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองต่อความเสี่ยง
            ฟังแล้วน่ากลัวไหมครับ  นอกจากนั้นการเคลื่อนย้ายฐานผลิตก็เป็นส่วนหนึ่งของการคาดการณ์ในภาวะแรงงานระดับท้องถิ่น  แม้นกระทั่งการเคลื่อนย้ายแรงงานจากนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดที่เป็นแหล่งแรงงานที่เลิกจ้างงาน  ก็สร้างภาวะที่มีผลต่อแรงงานในระดับท้องถิ่นแบบ  เรา ๆ ครับ

2.  แนวโน้มการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตจากประเทศพัฒนาไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา
            ประเทศไทยเป็นฐานผลิตระดับต้น ๆ ที่ประเทศพัฒนาจับจ้องมองอยู่ว่ายังคงเป็นฐานการผลิตทางด้านไอทีได้อยู่  เพราะคนไทยหัวอ่อน  ไม่ค่อยโต้เถียงและไม่ค่อยก่อให้เกิดปัญหามากนัก  ไม่ชอบขโมยถึงจะขโมยก็ขโมยแต่น้อย ๆ(ฮา) ตอนที่ผมอยู่ไทยแอร์โรว์  เป็นบริษัททำสายไฟรถยนต์ส่งนอก  เวลามันจะขโมย  เช่น  ขโมยสายไฟวันละเส้น  ไม่เหมือนที่แถวๆแอฟริกามันเล่นม้วนรอบ ๆ ตัวขนออกมาวันละ  10  กก.  เดินตัวแข็งออกจากโรงงานเลยครับ  ของเราถึงจับได้บอกว่าหาเงินไปซื้อนมให้ลูก  ผมก็วิธี                   การุณฆาตให้ออกโดยไม่จับติดคุก  แถมยังช่วยค่านมลูกเธอไปอีก  2,000  บาท 
            ส่วนการผลิตที่เราท่านคิดว่าจะย้ายจากประเทศเราไปประเทศเวียดนามบ้าง  เขมรบ้าง  จีนบ้าง  ลาวบ้าง  ส่วนพม่าไม่ต้องพูดถึงป่านนี้มันรบกันไม่เสร็จเลย  แล้วไม่ต้องกลัวนะครับ  ส่วนใหญ่ประเทศที่ผมพูดถึงจะเป็นการผลิตที่ไม่ใช้โนว์ฮาวมากนัก  จะใช้แต่แรงงานล้วน ๆ
            การผลิตทางเกษตรมีการเคลื่อนย้ายแรงงานบางส่วนไปแถวแอฟริกา  บางส่วนของประเทศในเอเชียตะวันออกกลาง  ซาอุ  อามิเรต  บรูไน  มาเช่าที่ไทย  เขมร  แอฟริกา  แรงงานทางเกษตรก็มากขึ้นตามมาในอนาคต  และเราเชื่อว่าคนไทยปลูกข้าวเก่งที่สุดในโลกจริง ๆ นะครับ  เขาเลยต้องมาจ้างเราหรือประเทศใกล้เคียงปลูกข้าวให้กิน  เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถกินน้ำมันแทนข้าวได้  นี่ก็เป็นแรงงานอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ

3.  แนวโน้มการจ้างงานในระดับภูมิภาค  เอาสั้น ๆ ก็บ้านเรานี่แหละ
            พวกเราลองมาหลับตาแล้วขึ้นไทม์แมชชีนไปกับผม  ไปดูอนาคตของบ้านเราในอีก  10 15  ปีข้างหน้า  ท่านทราบมั้ยว่า...
            -  พิษณุโลกจะเป็นศูนย์กลางสี่แยกอินโดจีนเป็นเมืองบริการทางด้านธุรกิจ  ด้านท่องเที่ยว  และการศึกษา  จากการผลักดันและขับเคลื่อนของหอการค้าพิษณุโลก
            -  ประชากรจะเพิ่มขึ้นอีกทั้งจีน  ไทย  ฝรั่ง  ญวน  เขมร  ลาว  พม่า  ศูนย์รวมคนหลายชาติ
            -  เป็นศูนย์กระจายสินค้าระดับประเทศและภูมิภาค
            -  เป็นศูนย์ประชุมแห่งชาติ  และศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติระดับ
                        *  มีสนามบินนานาชาติ  รถไฟรางคู่
                        *  สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
                        *  แถมมีนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร  ห่างเพียง  40  กม.
            เป็นไงครับฟังแล้วตื่นตาตื่นใจดีมั้ย  แล้วคนของเราล่ะเราจะเตรียมคนของ  เราอย่างไรบ้าง  ต้องเตรียมแรงงานชนิดใด  อย่างไรบ้างครับ  และมีแนวโน้มอย่างกับเด็กของเรานักเรียน  นักศึกษาที่กำลังจะออกสู่ตลาดแรงงานอย่างไรในอนาคต
            อาชีพด้านบริการ  โรงแรม,  สรรพสินค้า,  ร้านอาหาร,  เสริมสวย,  ตัดผม,  ท่องเที่ยว,  ไกด์,  ร้านค้าต่าง ๆ รับเลี้ยงเด็กต่างชาติ
            ภาษา  โรงเรียนสอนภาษาจีน,  ไทย,  อังกฤษ ฯลฯ
            อิเล็กทรอนิกส์  คอมพิวเตอร์  ศูนย์ซ่อม ร้านขายคอมพิวเตอร์
            แรงงานด้านฝ่ายผลิต  เช่น  ไทยแอร์โรว์  มอนซานโต้  ไทยนิปปอน  ฯลฯ
            สำหรับเรื่องการทำงานนั้น  ผมรู้สึกขัดใจมาก  ในฐานะเป็นเจ้าของกิจการ  สถาบันต่าง ๆ มักจะสอนคนให้ออกไปเป็นขี้ข้า  เช่น  หนังสือคู่มือนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ  มักจะสอนคนให้ไปเป็นลูกจ้าง  เช่น  หลังจากจบจากคณะนี้แล้ว  นักศึกษาจะได้ออกไปเป็นลูกจ้างเขาอย่างภาคภูมิใจ  เฮ้อ ..(ฮา)
            การประกอบอาชีพในอนาคตมีคนบอกว่าแบ่งออกเป็น  3  แบบ
            1.  เป็นมนุษย์กินเงินเดือนไม่ว่าข้าราชการ หรือ ลูกจ้างก็ตาม  เงินออก  1  วันนอกนั้นจ่าย  29  วัน
            2.  เจ้าของกิจการมีโอกาสฟลุ๊ค
            3.  ที่ดีที่สุดก็คือ  ทูอินวัน  คือเป็นทั้งลูกจ้างและเจ้าของกิจการตนเอง 
เหมือนกับพวกท่านล่ะครับ  ประกอบอาชีพหลังเวลาเลิกงานก็ได้  ได้ถึงสองเด้ง

4.  การปรับตัวและการพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นแรงงานที่ดีในระบบ
            คนทำงานในอนาคตจะต้องเป็นดังนี้
            1.  เก่งรอบด้าน
            2.  ชำนาญเฉพาะเรื่อง
            3.  เฟื่องเรื่องภาษา
            4.  หาเมียรวย  (เอ้ยไม่ใช่)  หาความรู้ทางอินเตอร์เน็ต

รายละเอียดดังนี้
            1.  เก่งรอบด้าน  คือเก่งหลาย ๆ ด้าน  ท่านทราบหรือไม่ว่าปัจจุบันนี้บริษัทใหญ่ ๆ เช่น          ไมโครซอฟ  ธนาคารกสิกรไทย  มอนซานโต้  ไทยแอร์โรว์  บริษัทพีซี  แม้กระทั่งโรงเรียนเอกชนต้องการคนเก่งรอบด้าน  เช่น  เรื่องภาษานอกจากภาษาไทยแล้วภาษาอื่น ๆ เช่น  อังกฤษ  จีน  หรือแย่สุดภาษาพม่าก็ได้ เพราะการทำงานในอนาคตเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราต้องสัมผัสกับชาวต่างชาติ  เช่น  ฝรั่ง  จีน  ญี่ปุ่น  เยอรมันแล้วก็.. พม่า (ฮา...)  จริง ๆ นะ  อย่างเพิ่งหัวเราะเยาะนะครับ  ผมมีเพื่อนลูกสาวอยู่คนหนึ่งสอบเข้าอะไรไม่ได้เลย  เลือกเรียนเอกพม่าที่ มน. ตอนแรกผมก็คิดว่า  อืมมันตกต่ำถึงขนาดต้องไปเรียนภาษาพม่าเลยเหรอ  แต่ขอโทษนะครับ  ปัจจุบันนี้ไปทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูนอยู่ฝ่ายบุคคลดูแลคนงานพม่าในโรงงานมันฝรั่งทอดกรอบฟิโตเลย์ เงินเดือนหลายหมื่นเชียวครับ 
            2.  ชำนาญเฉพาะเรื่อง  คนเก่งเรื่องพิธีกร  นักร้อง  นักพูด  หัวหน้าทำกิจกรรม  อันนี้ต้องเก่งจริง ๆ นะ  ก็จะมีอาชีพที่มีรายได้ดีเก่งกฎหมายก็เป็นทนาย  ผู้พิพากษาไป  ซึ่งเป็นอาชีพอิสระ  ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ค่อยน่าหนักใจสำหรับครูแนะแนว  เพราะเรียนเก่งจะไปทางไหนได้ทั้งนั้น  มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชีวิตชอบเลี้ยงแต่สุนัข เรียนจบแค่ ม.ศ.3 สมัยก่อนนะครับ มันเลี้ยงแต่สุนัขอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย เดี๋ยวนี้รวยครับ ตั้งฟาร์มสุนัขใหญ่โตอยู่ที่นครปฐม
            3.  เฟื่องเรื่องภาษา  นี่ก็สำคัญนะครับมีคนบอกว่าการรู้จักภาษาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งภาษาก็กำไรชีวิตขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต  เพราะการทำงานในอนาคตเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราต้องสัมผัสกับชาวต่างชาติ  เช่น  ฝรั่ง  จีน  ญี่ปุ่น  ฯลฯ  และที่สำคัญอย่างน้อยเวลาเข้าไปในเน็ต  เราจะได้อ่านออกว่าอันไหนเป็นเว็บโป๊  แหะๆ (ฮา) เรา...จะได้ไม่เข้าไปดูไงล่ะ  เราจะได้ปิดแล้วไปดูเว็บอื่นที่ไม่โป๊แทน 
            4.  หาเมียรวย...(เอ้ย..ไม่ใช่)  หาความรู้ทาง (อินเตอร์เน็ต)  เพราะรู้จักใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ต
            -  ท่านทราบไหมครับว่าเด็กสมัยนี้เก่งเรื่องเน็ตมากกว่าเราเยอะ  สมัยต่อไปนะครับคนเราจะอ่านหนังสือพิมพ์ทางเน็ต  ติดต่อทางเน็ต  ค้าขายทางเน็ต
            -  อนาคตคนจะซื้อของทางเน็ต  เสริตทางกูเกิล หาสินค้า
เหมือนร้านของผมเอง  เปิดร้านตั้งแต่ปี  2520  ปัจจุบัน  2552  (32  ปี)  มีคนเข้าร้านไม่เกิน  30,000  คน  เปิดขายทางเว็บกับคน  64  ล้านคนตลอด  24  ชั่วโมง ปัจจุบันเข้ามาเกือบสองแสนคน ทั้งๆที่เพิ่งทำได้  1  ปีเท่านั้น
            -  อาคารพาณิชย์  ตึกต่าง ๆ จะลดราคาลง  คนจะเดินห้างแทน
            -  บ้านจัดสรร  ทาวน์เฮ้าส์จะขายดีขึ้น  คอมพิวเตอร์จะเป็นเครื่องมือที่ต้องมีทุกบ้าน ทุกๆบ้านจะมีอินเตอร์เน็ต
            -  สิ่งที่คาดไว้  และเชื่อแน่ว่าไม่ไกลเกินไปนัก  สังเกตมั้ยครับ  มือถือสมัยก่อนเมื่อปี  2534 35 ราคาแพงมาก  ปัจจุบันบางคนมี  2  เครื่อง  อย่างผมนี่ต้องพก  2  เครื่อง  เพราะบังเอิญมี  2  มือ  ถ้ามีสามมือคงต้องพกเพิ่มอีก  1  เครื่อง  เพราะทำธุรกิจทางเน็ตนั้นการติดต่อทางโทรศัพท์มีตลอดเวลาทั้งวัน  ตลอด  24  ชั่วโมงครับ  นี่เป็นอีกเรื่องที่คุณครูแนะแนวต้องแนะลูกศิษย์ให้ปรับตัวให้ทันตามเทคโนโลยี
            ครูแนะแนวจะต้องรู้ทันอินเตอร์เน็ตและสามารถนำอินเตอร์เน็ตมาเป็นแนวทางในการแนะแนวได้  เพราะเด็กสมัยนี้เชื่อเพื่อนในเน็ตมากกว่าครูหรือพ่อแม่  จนมีคำพูดว่าเด็กอนุบาลเชื่อพ่อแม่ ..เด็กประถมเชื่อครู...เด็กมัธยมเชื่อ..เพื่อน นักศึกษาปริญญาตรีเชื่อตำรา...นักศึกษาปริญญาโทเชื่อตัวเอง..พวกด็อกเตอร์เชื่อ........หมอดู.(ฮา...)
ท่านผู้มีเกียรติครับ ผมเคยปลอมเป็นนิสิตไปเล่นเอ็มกับลูก ถามปัญหาต่างๆกับลูกโดยเค้าไม่รู้ โอ้โฮ รู้เรื่องต่างๆของวัยรุ่นมาเยอะครับ  และช่วยแก้ปัญหาให้ลูกได้หลายๆเรื่องโดยเขาไม่รู้ตัว ...วันหลังคาดว่าครูแนะแนวเราคงต้องเป็นแบบนี้
            สรุปแล้วนะครับ   แรงงานในอนาคตจะมีความหลากหลาย  ใครใคร่เป็นลูกจ้างก็เป็น  ใครใคร่เป็นพ่อค้าเป็นไป  บ้านเมืองก็ยังเก็บภาษีท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเดิม 
            ครับ  สำหรับแรงงานในบ้านเรานั้น  คาดว่าภายในไม่เกินปีสองปีนี้  ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง  และเฟื่องฟูเหมือนเดิม  ฟันธง!!
            สุดท้ายนี้  สิ่งที่อยากจะฝากให้คุณครูที่รักทุกท่านต้องสอนให้เด็กรู้จักหน้าที่  ความรับผิดชอบ  และแนะแนวทางให้ยึดมั่นในความเป็นอยู่อย่างพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวงของเรา  คือ  รู้จักพอเพียงและเพียงพอ..
                                                                ขอบคุณครับ.